จูนจิตกับความสำเร็จ ความสำเร็จที่หมายถึงการค้นพบชีวิตที่ยอดเยี่ยม ชีวิตที่อยู่เหนือการดิ้นรนเป็นอิสระจากสิ่งที่เรากำลังร่ำร้องเรียกหา เป็นนายเหนือโชคชะตา เป็นคนที่มีความอุดมสมบูรณ์และความสมบูรณ์แบบอยู่ในตัวเอง
วันนี้เราอาจจะต้องยอมรับความจริงว่า ความร่ำรวยเป็นวิถีของคนรุ่นใหม่ที่ปรารถนาจะใช้ชีวิตกันไปสู่ความสำเร็จที่อุดมสมบูรณ์จากการมีทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สินเงินทอง แม้สุดท้ายเราอาจจะยอมรับว่าชีวิตก็ไม่มีใครเอาอะไรไปได้จากโลกใบนี้และเราก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าชีวิตเราจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
มีใครบางคนบอกเราว่า อย่าไปกังวลกับอนาคตมากนักเลยและที่สำคัญก็คืออย่าไปเสียเวลาทะเลาะกับใคร เพราะมันจะทำให้เราเสียเวลาในชีวิต การพูดดีทำดีกับทุกคนโดยเฉพาะคนใกล้ตัวหรือคนที่เรารักหรือแม้กระทั่งคนที่รักเราก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต
ในโลกนี้ยังมีอะไรที่เราจะต้องทำอีกเยอะ แต่ถ้ายังไม่ได้ทำ ก็ต้องถามว่า เราจะเริ่มลงมือทำเมื่อใด ถ้าเราอยากจะทำอะไร ก็จงหาเวลาลงมือทำอย่างมีความสุข มีความรู้สึกที่จะยอมรับความจริง มีความรู้สึกที่จะเข้าใจตัวเองมากขึ้นและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ซึ่งมันคงเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจของเราทุกคน
สำหรับผมแล้วการขอบคุณ วันนี้การที่เรามีชีวิตอยู่และทำให้เรารู้สึกถึงชีวิตที่มันมีคุณค่าน่าจะเป็นสิ่งที่มันกระตุ้นเตือนอยู่ในใจของผม ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถใช้ชีวิตอย่างคนที่มีความสุขได้
ความสุขที่เราจะใช้ชีวิตในแบบที่เราไม่ต้องไปมีเงื่อนไขกับตัวเราเอง ไม่ต้องไปใช้ชีวิตแบบสร้างภาพ ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเองมากที่สุด มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น รักและศรัทธาในสิ่งที่เราทำและหลายคนอาจจะหมายถึงการยินดีที่เราจะได้ใช้ชีวิตในแบบของคนที่มีความสุขกับตัวเองมากขึ้น ซึ่งแน่นอนมันคงเป็นความปรารถนาที่ผมรู้สึกกับตัวเองโดยไม่ต้องเดินตามใครไม่ต้องเหมือนใครไม่ต้องไหลไปตามกระแสนิยมของโลกและไม่ต้องถูกชักจูงจากคนอื่นจนทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง
วันนี้เราแค่ไม่กลัวกับความล้มเหลว เราแค่พร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตอย่างคนที่โชคดี เราต้องพร้อมแล้วที่จะมีความสุข พร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตอย่างคนที่พร้อมจะเติบโต ที่มีชีวิตอย่างมีเป้าหมาย อย่างคนที่มีความสุขไม่หมกมุ่นอยู่กับอดีตหรือจมปลักกับความรู้สึกติดค้างหรือความรู้สึกผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผมชอบพูดเรื่องนี้อยู่เสมอเพื่อเราทุกคนจะได้ยอมรับความจริงในชีวิตด้วยความรู้สึกของคนใจเย็น สุขุมและเข้าใจชีวิตมากขึ้น โดยที่ไม่คาดหวังผลลัพธ์กับชีวิตมากเกินไปจนกลายเป็นคนที่คิดมากเกินไป อย่าเสียแรงไปกับเรื่องที่เปล่าประโยชน์ที่เราจะต้องพึ่งพาหรือพึ่งพิงใคร จงสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง อย่าเสียเวลากับความรู้สึกอิจฉาในความสำเร็จของคนอื่นจนทำให้เวลาสร้างตัวของเรามันลดน้อยถอยลงไป อยากกลัวกับความล้มเหลว อย่าเพิ่งยอมแพ้
แม้ความล้มเหลวในครั้งแรกน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่เกิดขึ้น ผมมักจะบอกกับตัวเองแบบนี้เสมอ บอกกับชีวิตว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้ จดจำ หัวเราะ ร้องไห้ หรือมีความสุข บางครั้งความเจ็บปวดอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาเข้าใจชีวิต เข้าใจความจริงของตัวเราเอง เข้าใจความรู้สึกที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตหรือตัวเองได้มากขึ้น ผมว่าสิ่งนี้ทำให้เราเติบโตขึ้นจากการที่เรายอมรับความผิดพลาด แล้วก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันแย่เสมอไป สิ่งนั้นมันอาจจะเป็นบริบทที่นำไปสู่จุดสุดยอดของชีวิตที่เราจะต้องเรียนรู้และต้องฝึกฝนตัวเอง
เมื่อใดที่เราทุ่มสุดตัว เราก็จะได้รับผลตอบแทนที่มีคุณค่าและมีความหมายมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันต้องเริ่มต้นจากตัวเราเองที่กระตุ้นหรือว่าเร่งเร้าให้เราสามารถใช้ชีวิตในแบบที่เราปรารถนาและเราต้องมีความกล้าหาญพอที่จะลงมือทำมัน มีทัศนคติและความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้คงเป็นเรื่องของศาสตร์แห่งความสำเร็จที่ผมพูดถึงความอุดมสมบูรณ์ที่เริ่มจากความเป็นอิสระ ความเป็นนายของความคิดตัวเอง เริ่มที่จะรู้จักความสมดุลของสมองและหัวใจ มีเหตุผลและอารมณ์ที่เป็นเชิงบวกมากขึ้น สำคัญมากที่เราจะหลีกเลี่ยงความคิดลบซึ่งมันไม่ก่อประโยชน์ให้กับใครเลยแม้แต่ตัวเรา แล้วกลับมาใส่ใจกับสิ่งที่เราทำอยู่ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เรากำลังไขว่คว้าถึงสิ่งที่เรารู้สึกอย่างมีความสุข ซึ่งเป้าหมายและการเข้าถึงมันจะง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ถ้าคุณรู้สึกกับแรงกระตุ้นนั้นกับการโฟกัสนั้น กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น
แน่นอน ผมว่าเราเรียนรู้ชีวิตได้ เราสามารถร่วมงานกับคนอื่นได้ การทำงานเป็นทีมเวิร์ค การสมัครสมานสามัคคีกลมเกรียว การไว้วางใจกัน การฝ่าฟันความยากลำบากหรือเรียนรู้บทเรียนความพ่ายแพ้หรือสิ่งที่มันเกิดขึ้นด้วยกันน่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันเป็นโอกาสที่ทำให้เราก้าวย่างพ้นกับความยากลำบาก ความล้มเหลวได้ในที่สุด มันต้องมีสุขภาพจิตที่ดี มีอุปนิสัยของคนที่ใจกว้าง มีความเมตตากับชีวิต เมตตากับตัวเองและผู้คน และที่สำคัญก็คืออยู่กับความรู้สึกที่เหนือกว่าของหัวใจที่ยอดเยี่ยม ทั้งหมดนี้แหละ คือการกระตุ้นความพร้อมสำหรับการเชื่อมโยงพลังอันยิ่งใหญ่ที่เราจะเข้าถึงตัวเราเอง เข้าถึงความรู้สึกด้านบวกซึ่งบางทีผมอาจจะหมายถึงการสื่อสารกับจิตใต้สำนึกที่เราทุกคนต่างต้องเรียนรู้ เราทุกคนต่างจะต้องฝึกฝนเพื่อที่จะเข้าถึงกฎแรงดึงดูด
.
ซึ่งไม่ใช่การสอนที่อยู่ในตำรับตำราที่เราเรียนในห้องเรียนแต่หมายถึงการป่ายปีนถึงขุนเขาที่สูงตระหง่านที่เป็นขุนเขาแห่งความสำเร็จ ที่เริ่มต้นจากความรู้สึกที่มันมีพลัง เราต้องฝึกฝนจิตวิญญาณหรือจิตใจอย่างหนัก การฝึกฝนเพื่อให้เราหลุดพ้นไปจากข้อจำกัด เพื่อให้เรารู้ว่าระหว่างทางเราจะต้องฝ่าฟันกับข้อจำกัด มันคือเรื่องธรรมดา เรื่องปกติที่คนจะบรรลุถึงความอิ่มเอมของชีวิตจะต้องผ่าน
.
สั่นสะเทือนกฎแห่งจักรวาลให้มันหลั่งไหลและดึงดูดกลับมาสู่ตัวเรา แล้วค้นพบความรู้สึกที่เรารู้สึกเหนือกว่า เรายอมรับที่จะให้สิ่งดี ๆ หลั่งไหลเข้ามาสู่ชีวิตของเรา เรายอมรับที่จะปฏิเสธและปลดปล่อยใครบางคนให้ออกไปจากวิถีทางของเรา และที่สำคัญเราจะต้องปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่คู่ควรกับชีวิตของเราออกไปจากเราให้รวดเร็วและง่ายดายที่สุด
ทั้งหมดนี้ คือการอธิบายกฎแห่งจักรวาลที่จะทำให้เราเดินทางสู่เส้นชัยได้อย่างง่ายดาย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะติดยึดอยู่กับความคิด อาจจะติดยึดอยู่กับความดิ้นรนจนลืมไปว่า ความสำเร็จมันต้องอยู่เหนือความดิ้นรน ความสำเร็จมันต้องอิ่มเอม ความสำเร็จมันต้องเป็นสภาวะของการดึงดูดของสภาวะที่เหนือกว่าของจิตวิญญาณที่เรากำลังสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง มันคือการเชื่อมโยงตัวเราเองกับจักรวาล มันคือการเข้าถึงความรู้สึกที่เหนือกว่าของมนุษย์คนหนึ่งที่จะเข้าใจตัวเองในแบบของความตระหนักรู้อย่างแท้จริง
.
ลองฝึกกระบวนการนี้กับผมดู หายใจลึก ๆ สัมผัสกับความรู้สึกที่เหนือกว่า สัมผัสกับหัวใจที่มันทำให้เราค้นพบชีวิตที่งดงาม ค้นพบว่าตัวเองยืนอยู่กลางทุ่งนาข้าวอันเขียวชอุ่มจากขุนเขาอันสลับซับซ้อน ความทรงจำที่เป็นเสมือนสายลมที่พัดผ่านต้นข้าวที่พลิ้วเอนไหวไปตามลม มันช่างงดงามเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ มันเป็นความรู้สึกที่เรากำลังยืนต้อนรับอยู่กับแสงตะวันในวันที่ฟ้าใสที่มันกำลังซาบซ่านเข้ามาสู่หัวใจของเรา วันที่ฟ้าใสที่มันกำลังส่งแสงสว่างมาจากฟากฟ้าเข้ามาสู่ดวงวิญญาณของเราผ่านทุ่งข้าว รวงข้าวสีทองก็ไหวเอนไปตามลม ดุจดังความรู้สึกของชีวิตหรือโชคชะตาที่มันกำลังซาบซ่านซึมซับเข้าไปสู่ชีวิตของเรา สู่หัวใจของเรา มันเป็นความรู้สึกที่เราทุกคนต่างเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามที่กำลังสถิตอยู่ในความทรงจำของพวกเราทุกคน เป็นความปรารถนาที่ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้น
เป็นความปรารถนาที่ผมอยากจะบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า ที่ผมมีเวลากับชีวิตอยู่กับการทำสมาธิ อยู่กับตัวเอง อยู่กับความสงบ อยู่กับหัวใจที่มันอิ่มและเบิกบาน มันทำให้เรารู้สึกถึงชีวิตที่เหนือกว่า รู้สึกถึงการเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระจากตัวตน เป็นความรู้สึกที่ต้องบอกว่าเรารักตัวเองมากขึ้น เป็นความรู้สึกที่ไม่มีการแบ่งแยก นั้นเธอ นี่ฉัน ไม่มีถูกและผิด ไม่มีสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าแตกต่างกัน มีแต่ความใฝ่รู้ มีแต่ความเป็นอิสระและความเป็นจิตที่กำลังรู้สึกถึงประสบการณ์ที่เหนือกว่า มีแต่สภาวะของการเติมเต็มประสบการณ์ของการเป็นมนุษย์ที่ดวงวิญญาณกำลังได้รับรู้
ทั้งหมดนี้คือการที่ดวงวิญญาณกำลังได้รับรู้สิ่งมหัศจรรย์ของชีวิตอันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งผมมักจะพูดอยู่เสมอว่า มันเป็นอมตะนิรันดร์ มันเป็นความรู้สึกที่เรามักจะสัมผัสกับหัวใจของเรา สัมผัสกับความรู้สึกเหมือนที่เรามองท้องฟ้าในยามค่ำคืน ไม่ว่าเราจะอยู่ในจุดไหนของโลก
เราอยู่บนพื้นพิภพเราเฝ้ามองดวงดาวหรือทางช้างเผือกในคืนที่ท้องฟ้าสดใสและตอบคำถามกับตัวเองว่า เรามาที่นี่เพื่ออะไร เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แล้วอะไรคือเป้าหมายของการเกิดมามีชีวิตของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เราต่างก็รู้สึกอย่างนั้น หรือว่ามันมีเหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือว่ามีอะไรบางอย่างที่จะตอบตัวเราได้ ถ้าเราค้นหามันพบ ถ้าเราแสวงหามันอย่างชัดเจน
บนท้องฟ้ามีดวงดาวนับล้านล้านดวงที่ส่องแสงสว่างระยิบระยับเหมือนจะทักทายเพื่อบอกเล่า เพื่อกล่าวขานให้เราได้รู้สึกว่า ความจริงเราเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล เขาเฝ้ามองเรา เฝ้าสัมผัส เฝ้าติดตาม และเฝ้าห่วงหาชีวิตของเรา มันไม่ใช่ความฝันแต่มันคือความจริง มันไม่ใช่สิ่งที่เราเพียงแค่คิดไปเอง แต่มันคือความรู้สึกที่เรารู้ว่าเมื่อเราตื่นขึ้นในวันพรุ่งนี้ชีวิตของเราจะเริ่มต้นใหม่จะค้นพบสิ่งที่เหนือกว่าจะทำให้ชีวิตที่เราปรารถนาได้กลายเป็นความจริงมากขึ้นด้วยการลงมือทำ ไม่ใช่แค่ฝันไปเรื่อย ๆ อยู่กับความพร่ำเพ้อหรือใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่มีแก่นสาร
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 200,000 ปี นานแสนนานแล้วที่เราผ่านความรับรู้ทางสติปัญญาในระดับยีน ดีเอ็นเอ ในสายพันธุ์ของเราที่ส่งผ่านโครโมโซมหรืออะตอมของบรรพบุรุษจนถึงทุกวันนี้เราผ่านยุคสมัยกาลเวลาที่บรรพบุรุษของเราได้ต่อสู้เพื่อสิ่งที่มีความหมายและคุณค่าในโลกใบนี้จนมาถึงช่วงอายุเรา เพื่อที่จะทำให้เรารู้ว่า เราจะเข้าใจชีวิตได้อย่างไร เพื่อจะทำให้เราเข้าใจความจริงที่เหนือกว่านั้นว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรบนโลกใบนี้ ที่เราสามารถหลุดพ้นไปจากสมมติที่เรานั้นสร้างขึ้น ที่เราสามารถหลุดพ้นไปจากโลกวัตถุหรือสิ่งที่เรากำลังถูกครอบงำหรือหลุดพ้นไปจากความคิดบางอย่างที่ทำให้เราติดกับหมกมุ่นอยู่กับความโหยหาหรือความดิ้นรน
จงเป็นอิสระจากมัน เพื่อเข้าถึงความจริงที่เหนือกว่า เพื่อเข้าสู่กระบวนการของการใช้ชีวิตที่เราเป็นผู้ลิขิตชีวิตของเราได้ด้วยตัวเราเอง ผมซาบซึ้งกับชีวิตและบอกกับตัวเองเสมอว่า ผมพร้อมแล้วที่จะค้นพบความรู้สึกที่เหนือกว่า ค้นพบหัวใจและความทรงจำที่มีคุณค่า ทุกอย่างที่อยู่ในลมหายใจของเราคือความจริง ก้อนหิน ภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า หิมะ ลำธาร น้ำ หรือแม้แต่สุนัขที่วิ่งตามไล่หลังเรา กระทั่งความสงบที่มันวูปเข้าสู่ดวงวิญญาณของเรา เราสามารถรับรู้ได้ เราสามารถรู้สึกกับมันได้และเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงชีวิตและโลกภายในของเราได้
ที่น่าสนใจคือ วันนี้เราแค่ตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ความรู้สึก รับรู้ความคิด รับรู้อารมณ์ที่เหนือกว่าและมีอิสระจากการมีชีวิตในโลกนี้ด้วยความสุข มันคือประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เราจะต้องหลุดจากการดิ้นรนและหลุดจากความรู้สึกบางอย่างที่มันคอยซ้ำเติมให้เรารู้สึกเจ็บปวด รู้สึกกับมันให้ได้ว่าเราต้องการอะไร รู้สึกกับมันให้ได้ว่าอะไรคือคุณค่าของการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
เราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวและดวงดาวนับล้านล้านดวง และในความทรงจำที่เต็มไปด้วยความหมายอันไม่มีที่สิ้นสุดที่เรากำลังสัมผัสและรู้สึกกับตัวเอง เรารู้ไหมว่า ในวินาทีนี้เราอาจจะเป็นดวงดาวดวงหนึ่งในจักรวาลนี้ที่มีชีวิตและส่องแสงระยิบระยับในแบบของตัวเราที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และการตระหนักรู้อย่างแท้จริง
.
.
อาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข
ครูและโค้ชทางจิตวิญญาณระดับโลก
.
สอบถามเพิ่มเติม – 092-361-5346, 095-636-2691