คลื่นใต้น้ำ..สู่..สึนามิทางจิตวิญญาณ
Category: บทเรียน หนังสือ
อัพเกรดชีวิต ปรับจิตขึ้นสู่ที่สูง
ผู้เขียนนึกถึงช่วงเวลาที่เมืองอู่ฮั่นปิดเมือง เห็นคลิปชาวเมืองออกมาส่งเสียงให้กำลังใจกันในยามค่ำคืน เป็นภาพที่ชวนให้คิดว่า จักรวาลกำลังให้มนุษย์เรียนรู้อะไร จึงได้ส่งไวรัสชนิดนี้มาหยุดโลก
.
ใครเคยไปเที่ยวจีนจะรู้ว่า คนที่นั่นเคลื่อนไหวชีวิตอย่างรีบเร่ง ทุกคนก้าวเท้าไวน้อยกว่าวิ่งนิดเดียว ด้วยปริมาณของผู้คนและอัตราเร่งของการเดินไปทำงาน ความรู้สึกกดดันชีวิตที่ต้องแย่งชิง ทำให้เศรษฐกิจจีนก้าวกระโดด
.
ส่วนเป้าหมายการกระโดดทางเศรษฐกิจ ปลายทางจะเป็น ความสุข อย่างที่ทุกคนใฝ่ฝันจะได้รับหรือไม่ ต่างคนต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตตนเอง เพื่อหาหนทางมีความสุขจากการใช้และเข้าใจชีวิต
.
เมื่อครั้งไปจูนจิตกันที่มาเก๊า อาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข เคยกล่าวว่า “คนที่นี่รีบเร่ง และหวังว่าวันหนึ่งชีวิตจะดีขึ้น แต่..ถ้าคุณไม่รู้จักตัวเองจริงๆ เข้าไม่ถึงจิตสำนึกที่เหนือกว่า บางทีชีวิตก็ได้แค่รีบและดิ้นรนไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้วิธีทำอย่างไรให้สำเร็จ วิธีนี้มันอยู่ข้างในตัวเรา”
.
ในเช้าวันที่คณะเราเดินทางไปถึงมาเก๊า และเดินทางข้ามฝั่งไปประเทศจีน..
.
.
ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองมาเก๊า เราได้เห็นคลื่นมนุษย์ชาวจีนเดินทางจากฝั่งจีนไปทำงานที่มาเก๊า…ฝั่งมาเก๊าหาเงินได้มากกว่าประเทศจีน
.
ภาพทั้งหมดที่เล่ามา เป็นประสบการณ์และความทรงจำในอดีต…ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราทุกคนจะได้กลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมอีกครั้ง
.
นานมาแล้ว เราคุ้นเคยกับเรื่องราวการอพยพของผู้คนจากดินแดนซึ่งเขาเชื่อว่าหาเงินได้น้อย ไปสู่ที่ซึ่งหาเงินมากกว่า
.
พวกเขาไม่รู้ว่า มีดินแดนแห่งหนึ่งข้างในตัวเรา หากเข้าถึงดินแดนตรงนั้น..ที่เรียกว่า จิตใต้สำนึกที่ทรงพลัง ไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่ไหนเราก็สามารถร่ำรวยและมีความสุขได้
.
ถ้าเราไม่กล้าที่จะเรียนรู้คุณค่าที่แท้จริงหรือเรียนรู้ประสบการณ์ที่ทรงคุณค่า และค้นพบบทเรียนที่ทำให้เราผ่านพ้นข้อผิดพลาด หรือหลุดพ้นจากความเชื่อเก่า หรือความเชื่อผิด ๆ ที่มีข้อจำกัดในแบบที่แค่ใช้สัญชาตญาณเพื่อเอาตัวรอด หรือแค่มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะทำให้เราแสวงหาเงื่อนไขหรือความได้เปรียบ โดยลืมไปว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องเปลี่ยนอัลกอริทึมใหม่ การเรียนรู้ที่เป็นหนึ่งเดียวขององค์รวมของสรรพสิ่ง
.
การไม่เอาตัวรอดในสถานการณ์ แค่ช่วงชิงโอกาสหรือการมีชีวิตอยู่ในแบบที่เราจะต้องกล้าทำในสิ่งที่เหนือกว่าที่เราเคยทำ
.
.
สิ่งเล็กๆที่เรียกว่าไวรัส
.
กลายเป็นเครื่องมือเปลี่ยนโลกและวิวัฒนาการชีวิตแบบไม่ทันให้ตั้งตัว มันคือ สึนามิทางจิตวิญญาณ
.
ผู้คนที่คิดว่าตนเองมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตหลายคนต่างตกตะลึง
.
ระดับ CEO ของสายการบินกล่าวว่า เกิดชาติหน้าอีกกี่ครั้งก็ไม่ขอทำธุรกิจสายการบิน
.
เจ้าพ่อธุรกิจและขาใหญ่ทั้งหลาย ไม่คิดว่าการแพร่ระบาดของไวรัสตัวเล็กๆ สามารถหยุดโลกทั้งใบให้สงบนิ่ง
.
.
ความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเคยรู้สึกว่าตนเองกำลังครอบครองโลกในกำมือ ดูเหมือนได้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
.
นักการเมืองต้องพยายามทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
.
ส่วนเรื่องสภาพแวดล้อมของโลกนั้น เราได้เห็นชัดเจนว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย โลกก็เป็นอย่างที่เป็นได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อมนุษย์ไม่เข้าไปแทรกแซงกลไกธรรมชาติ
.
ผู้คนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ไม่มีทางเลือก..นอกจากเก็บตัว หันมารักษาชีวิตตนเองด้วยความรู้สึกว่า สุดท้ายแล้วชีวิตมีค่าเหนือกว่าทุกสิ่ง
.
เมื่อมนุษย์หยุดการเคลื่อนไหว เราได้เห็นอานุภาพแท้จริงของพลังแห่งผู้คนที่ร่วมกันสร้างสรรค์ระบบเศรษฐกิจและการเงินขึ้นมา ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรอย่างแท้จริงมากไปกว่าการกลับคืนสู่ธรรมชาติ
.
.
มนุษย์ส่วนใหญ่จะถูกกิเลส ถูกความโลภเข้ามาเย้ายวนใจจนทำให้ใครบางคนตกอยู่ภายใต้ลักษณะของการถูกครอบงำนั่นเอง
.
ดังนั้น เมื่อเราจะเรียนรู้ชีวิตและพ้นข้อจำกัดในระดับของจิตใต้สำนึกได้ เราต้องรู้สึกกับหัวใจที่เหนือกว่า เราต้องกล้าเปิดหัวใจของเราออกมาอย่างสง่างามเปิดเผย ไม่ใช้ชีวิตแบบซุกซ่อน ไม่ทำตัวแบบซ่อนเร้น ไม่ใช้ชีวิตแบบแปลกปลอม และพยายามที่จะดิ้นรนเอาตัวรอดจนทำให้เราสูญเสียคุณค่าของความเป็นเพชรความเป็นแก่นแท้ของตัวเรา
.
.
วิ่งขึ้นสู่ที่สูง
.
ตอนที่พรายฟองเล็กๆเกิดขึ้นกลางมหาสมุทร ไม่มีใครคิดว่ามันจะกลายเป็นสึนามิที่ทรงพลังทำลายล้าง เพียงไม่กี่นาที มันก็ซัดโถมกระหน่ำขึ้นสู่ชายฝั่ง
.
คนที่มีวิสัยทัศน์มองได้ไกลจะเห็นความผิดปกติของเกลียวคลื่นที่กลางทะเล หากเอาแต่ยืนมองครุ่นคิดว่าคืออะไร กว่าจะไหวตัววิ่งหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว
.
ประสบการณ์จึงสำคัญมากในการใช้ชีวิต
.
.
ชาวเลผู้มากประสบการณ์เคยฟังเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ มันทำลายบ้านเมืองในอดีต พวกเขาอาจจะมองไม่เห็นเกลียวคลื่นได้ไกลเหมือนนักธุรกิจ แต่พวกเขามีประสบการณ์ผ่านคำบอกเล่าฝังใน DNA ที่ได้ยินจากการฟัง
.
เมื่อเห็นคลื่นนั้นอยู่ในทะเลและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกไม่ยืนดูนิ่งๆ ต่างพากันหอบลูกจูงหลานวิ่งขึ้นสู่ที่สูง..เพื่อมีชีวิตรอดต่อไป แต่ใช่ว่าชาวเลทุกคนจะเชื่อและวิ่งตามไปทั้งหมด
.
ในการจูนจิตครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้สัมผัสสนามพลังงานรวมของจิตมนุษย์ ครั้งแรกมันรวมตัวกันเหมือนฝูงผึ้งบินในระดับเดียวกับคลื่นพลังงานไวรัสที่กำลังระบาด
.
พอระยะหนึ่งเห็นสนามพลังรวมของจิตมนุษย์รวมตัวกันทะยานขึ้นสูงกว่า
.
ในความรู้สึกบอกว่า นี่คือหนทางวิวัฒนาการของมนุษย์ ด้วยการยกระดับจิตสำนึกรวมของมนุษย์ให้สูงขึ้น รวมตัวและเชื่อมโยงกันและกันผ่านภัยทั้งหลายที่เกิดขึ้น
.
ทุกครั้งที่เกิดการยกระดับจิตสำนึก ธรรมชาตาิหรือจักรวาลที่มีชีวิตจะกระทำผ่านภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดมนุษย์ที่กล้าเรียน และได้รู้ว่าจะต้องปรับจิตและปรับตัวอย่างไร จะกลายเป็นผู้อยู่รอด
.
และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผู้คนจำนวนมากจะมีชีวิตอยู่รอด
.
แต่คำถามที่น่าสนใจมากคือ เราจะใช้ชีวิตอย่างไรในโลกที่ไม่เหมือนเดิม เหมือนทุกคนหลับไป 50 ปีแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าโลกและผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมดแล้ว
.
ปรับตัวคงไม่ทัน ทางเลือกดีที่สุดคือ การปรับใจของเราให้อัพเกรดขึ้น
.
เราต้องเรียนรู้…ก้าวข้ามอัตตาแบบเดิม ความเชื่อแบบเดิม กล้าที่จะทิ้งอดีตอันขมขื่นและหอมหวาน แล้วพาใจของเราขึ้นสู่ที่สูง
.
นอกจากจะมีชีวิตรอด เรายังจะมองเห็นโลกในมุมที่เปลี่ยนแปรไปได้อย่างชัดเจน
.
ติดตาม LIVE
อาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข และทีมโค้ช
.
สอบถามเพิ่มเติม – 092-361-5346, 095-636-2691
.